magnetolabs_cover_blog_112-Work-From-Home
19
SHARE

แอปทำงานที่ Magnetolabs ใช้แล้ว Work (จากประสบการณ์ WFH 1 ปี)

ช่วง Work From Home ต้องอาศัยการวางแผนกลยุทธ์ในการทำงานที่ดี การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การสื่อสารที่ครบถ้วน และระเบียบวินัยในการทำงาน นอกจากนี้ สิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลย คือ แอปพลิเคชันที่ตอบโจทย์การ Work From home อย่างครอบคลุม ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้กับองค์กรและทีมในการทำงาน

เนื่องจากสถานการณ์โควิดรอบตัวไม่ค่อยสู้ดีและยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น เราจึงคิดว่าหลายๆ องค์กรคงต้องปรับตัวกันอีกครั้งและอาจกำลังวางแผนเรื่อง Remote Working ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในบทความนี้ Magnetolabs จะมาแนะนำแอปทำงานดีๆ และโปรแกรมช่วยทำงานปังๆ สำหรับการ Work From Home ที่พวกเราได้ใช้งานจริงกันในบริษัท ซึ่งเราได้ WFH แบบ 100% กันมาแล้วกว่า 1 ปีเต็ม หวังว่าจะเป็นไอเดียดีๆ สำหรับทุกคนค่ะ

แน่นอนว่า ตลอดการทำงาน Work From Home 100% ในช่วงปีที่ผ่านมาพวกเราพบเจอกับปัญหาใหม่ๆ เข้ามาให้แก้ไขเสมอซึ่งทำให้เราต้องวางกลยุทธ์สำหรับรับมือให้ได้ โดยคุณสามารถอ่านบทความที่เกี่ยวข้องได้ที่ วิธี Work from Home ในแบบของ Magnetolabs พร้อม แจก Template!

นอกจากเรื่องกลยุทธ์แล้ว เรายังต้องมีอาวุธดีๆ เข้ามาช่วยด้วยเช่นกัน โดยพวกเราชาว Magnetolabs มองว่าการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ประโยชน์เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพอีกวิธีหนึ่ง พวกเราจึงได้เฟ้นหาทั้งโปรแกรม แอปพลิเคชัน และวิธีการทำงานที่ตอบโจทย์การทำงานในโลก Digital Marketing โดยคิดหารูปแบบการทำงานเป็นทีมที่เหมาะสมที่สุดมาใช้ภายในองค์กร ซึ่งพวกเราเองอยากแบ่งปันอาวุธดีๆ เหล่านี้ให้กับทุกคนผ่านบทความนี้ด้วย

Work-From-Home

ปัจจัยหลักในการเลือกแอปพลิเคชันสำหรับ Work From Home ให้ตอบโจทย์

  1. สามารถใช้งานได้ทุกระบบ เช่น iOS, Android, Window และ macOS
  2. มีรูปแบบซอฟต์แวร์ที่สามารถทำงานได้ทุกที่ทุกเวลาและสะดวกต่อการทำงานร่วมกัน เช่น Cloud Application ที่สามารถทำงานผ่านหน้าเว็บไซต์ได้ทันที นอกจากนี้ ยังสามารถดาวน์โหลดเป็น Mobile Application ติดตัวไว้ทำงานผ่านมือถือได้ด้วย
  3. ฟีเจอร์ครบครันตอบโจทย์ทีมที่ใช้งาน

เราขอแบ่งหมวดหมู่แอปพลิเคชันต่างๆ ในการทำงาน ดังนี้ Communication, Time Management, Tool & Workspace และ Mental Health

Communication: แอปพลิเคชันสำหรับการสื่อสาร

บริษัท Magnetolabs ของเราเป็นผู้ให้บริการด้าน Agency Website Design, Inbound Marketing และ Consulting การสื่อสารจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอันดับต้นๆ ในการทำงาน ซึ่งเราคิดว่าการสื่อสารที่ดีควรชัดเจน ตรงประเด็น และใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด นอกจากนี้ พวกเรายังให้ความสำคัญกับ Work Life balance ของทีมงาน เราจึงเลือกใช้แอปต่างๆ ดังนี้

Slack

แอปทำงานสำหรับการสื่อสารเพื่อพูดคุยเรื่องงานและอัปเดตความคืบหน้าในแต่ละวัน ถึงแม้ว่าบริษัทของเราจะเป็นบริษัท Agency แต่เราตั้งใจที่จะให้พนักงานมีพื้นที่ส่วนตัว เราจึงเลือกใช้ Slack มาใช้ในการสื่อสารคุยงานแทน Line

Slack คือ แอปพลิเคชันที่มีความเป็นสากลช่วยให้ทุกคนสื่อสารและทำงานได้อย่างมืออาชีพมากยิ่งขึ้น Slack มีฟีเจอร์สำหรับการสื่อสารเรื่องงานที่ครบครันและใช้งานง่าย โดยหน้าตามีความคล้ายคลึงกับ Line ผสมกับ MSN สมัยก่อน

Feature และจุดเด่นที่ตอบโจทย์การทำงาน

  • Workspace & Channel: สร้าง Workspace ได้หลากหลายทำให้สามารถเชิญทีมเข้ามาได้สะดวก แยก Workspace หรือ Channel ได้อย่างชัดเจนไม่ปนกัน แถมยังเลือกตั้งค่า Private หรือ Public ก็ได้
  • Slack Connect: เชื่อมต่อกับ Workspace อื่นๆ เพิ่มความสะดวกในการติดต่อสื่อสารระหว่างองค์กร
  • Apps: เชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันในการทำงานอื่นๆ เช่น ClickUp, Trello, Google Meet, Zoom, Gmail และ Outlook เป็นต้น
  • Communicate: สื่อสารได้ทั้งแบบเดี่ยวและกลุ่มผ่านข้อความ, Voice Call และ Video Call
  • Text Message: ฟีเจอร์ส่งข้อความที่สามารถจัดหน้าได้อย่างสวยงาม แนบเอกสารทุกประเภทได้อย่างครบถ้วน แก้ไขข้อความที่ส่งไปแล้วเพื่อป้องกันความสับสนหากพิมพ์ข้อมูลผิดได้ สามารถร่างข้อความเก็บไว้ได้ รวมทั้งสามารถตั้งเวลาส่งข้อความได้อีกด้วย
  • Thread: ฟีเจอร์คุยกันในเธรด สำหรับคุยงานเฉพาะหัวข้อนั้นๆ ป้องกันปัญหาข้อความเยอะจนถูกดันหายไป
  • Emoji: แสดงความรู้สึกต่อข้อความที่ได้รับ และยังสามารถอัปโหลดอีโมจิของตัวเองได้อีกด้วย (ฟีเจอร์นี้เราชอบมากเลย เอาไว้กดเพื่อแจ้งว่ารับรู้ข้อมูลแล้วโดยไม่จำเป็นต้องตอบข้อความ)
  • Status: ตั้งค่าสถานะได้เพื่อบอกเพื่อนร่วมงานว่าเรากำลังยุ่งอยู่หรือเปล่า

Application-Work-From-Home-Slack

Slack ช่วยแยกพื้นที่ในการทำงานออกจากพื้นที่ส่วนตัว ช่วยให้ทีมสื่อสารได้อย่างครบถ้วน มีประสิทธิภาพ มีการวางแผนล่วงหน้า และชัดเจนยิ่งขึ้น พร้อมทั้งสามารถทำงานร่วมกับแอปพลิเคชันอื่นๆ ได้อย่างสะดวกสบายอีกด้วย แอปพลิเคชัน Slack จึงเป็นหนึ่งในแอปที่ตอบโจทย์การ Work From Home เป็นอย่างมาก

ระบบที่สามารถใช้งานได้: iOS, Android, Window และ macOS

รูปแบบซอฟต์แวร์: Program และ Mobile Application
ค่าใช้จ่ายในการใช้งาน: ใช้งานฟรี, รายเดือนเริ่มต้นที่ $6.67 USD ต่อคน/ต่อเดือน (ประมาณ 220 กว่าบาท)
รายละเอียดเพิ่มเติมที่: https://slack.com/

Google Meet

เมื่อต้องสื่อสารกับคนจำนวนมากหรือต้องสื่อสารในเรื่องที่ยากและมีความละเอียดอ่อน บางครั้งการสื่อสารผ่านข้อความอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ เพราะต้องอาศัยการพูดคุยเชิงลึกมากขึ้นทำให้ต้องใช้แอปพลิเคชันสำหรับ Video Conference เข้ามาช่วย ขอบอกว่าการได้เห็นสีหน้าแววตาหรือได้ฟังน้ำเสียงนั้นดีกว่าการเห็นเพียงแค่ข้อความจริงๆ ค่ะ แถมยังช่วยให้การเจรจาที่ดูรุนแรงซอฟต์ลงได้ทันที

Google Meet เป็นแอปพลิเคชันสำหรับการ Video Conference ที่มีฟีเจอร์ครบครันตอบโจทย์การใช้งาน นอกจากนี้ ยังมีระบบรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมและสามารถใช้งานได้ผ่าน Browser อีกด้วย

Feature และจุดเด่นที่ตอบโจทย์การทำงาน

  • Interaction Feature: Breakout Rooms แยกห้องสำหรับปรึกษากัน, Poll สำรวจความคิดเห็น, Q&A ตั้งคำถามสำคัญที่สามารถกลับมาตอบได้อย่างรวดเร็ว, Whiteboarding สำหรับ Brainstorm Idea สำหรับงาน Creative
  • Screen Recording: บันทึกหน้าจอการประชุมและข้อความในช่องแช็ตเก็บไว้เป็นประวัติที่สามารถดูย้อนหลังได้ กรณีที่ใช้แบบรายเดือน
  • Connecting: เชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันในเครืออย่าง Google Calendar, Google Drive โดยอัตโนมัติ
  • มีระบบรักษาความปลอดภัยที่รัดกุม
  • จำนวนผู้เข้าร่วมได้สูงสุด 100 ในเวอร์ชันฟรี และ 500 คนในเวอร์ชันมีค่าใช้จ่าย
  • ระยะเวลาการประชุมสูงสุด 1 ในเวอร์ชันฟรี และ 24 ชั่วโมงในเวอร์ชันมีค่าใช้จ่าย

ระบบที่สามารถใช้งานได้: iOS, Android, Window, macOS

รูปแบบซอฟต์แวร์: Cloud Application, Mobile Application
ค่าใช้จ่ายในการใช้งาน: ใช้งานฟรี, รายเดือนเริ่มต้นที่ $8 USD ต่อคน/ต่อเดือน (ประมาณ 260 กว่าบาท)
รายละเอียดเพิ่มเติมที่: https://apps.google.com/intl/th/meet/pricing/

Gather

Man is by nature a social animal; an individual who is unsocial naturally and not accidentally is either beneath our notice or more than human.
Aristotle, Politics

ด้วยความจริงที่ว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคมประกอบกับ Feedback จากทีมงานของพวกเราหลายๆ คนต่างก็มีความคิดเห็นตรงกันว่า การ Work From Home อยู่บ้านเป็นเวลานานโดยไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ หรือเพื่อนร่วมงานทำให้รู้สึกเฉา เหงา และไม่ค่อยมี Energy ในการทำงาน ทาง Magnetolabs จึงมองหา Solution สำหรับเรื่องนี้ ทำให้พวกเราได้มาเจอกับแอปพลิเคชัน Gather ที่สามารถสร้าง Virtual Office ในสไตล์ 8 Bit แสนน่ารักเพื่อเป็นพื้นที่ให้ทีมงานได้เข้ามาพูดคุยกันได้เสมือนอยู่ในออฟฟิศจริงๆ

มองเผินๆ Gather อาจดูคล้ายกับเกม Stardew Valley เกมปลูกผักสไตล์ 8 Bit แต่เราขอบอกเลยว่า Gather ไม่ใช่แค่เกมธรรมดาค่ะ เพราะ Gather ออกแบบมาเพื่อรองรับและช่วยแก้ปัญหาให้กับการทำงานทางไกลโดยแท้ ข้อดีของแอป Gather คือ มีฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์เรื่องของการสื่อสาร การทำงาน และการผ่อนคลาย

นอกจากนี้ ยังสามารถใช้งานได้ฟรีทั้งบน Website และ Program ซึ่งรองรับผู้ใช้งานได้ตั้งแต่ 25-500 คน โดยเจ้า Gather จะมี Avatar มาให้ User สามารถตั้งชื่อ ตั้งสถานะ แต่งตัว แสดงอารมณ์ และท่าทาง ก่อนเข้าไปร่วมวงสนทนากับเพื่อนๆ ได้อีกด้วย

Application-Work-From-Home-Gather

Feature และจุดเด่นที่ตอบโจทย์การทำงาน

  • Virtual Office: สร้าง Space สำหรับเป็น Office หรือ Community ให้ทีมงานเข้ามาพูดคุยกัน สามารถปรับแต่งพื้นที่และเฟอร์นิเจอร์ได้แบบไร้ขีดจำกัดทางไอเดีย
  • Meeting Feature: สามารถ Video Conference Online ได้แบบไม่จำกัดเวลาประชุม เปิด-ปิดกล้องและไมค์ของตัวเองและเพื่อนได้ รวมทั้งสามารถแชร์สกรีนพร้อมกันได้หลายคน นอกจากนี้ ยังมี Whiteboard สำหรับ Brainstorm และส่งข้อความหากัน หรือจะสร้าง Private Space สำหรับคุยกันแบบส่วนตัวก็ทำได้ไม่ยากอีกด้วย
  • Connecting: เชื่อมต่อ Dashboard กับโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันอื่นๆ สำหรับทำงานได้
  • Gaming: นอกจากฟีเจอร์การทำงาน Gather ก็ยังมีฟีเจอร์สำหรับผ่อนคลาย โดยรวบรวม Board Game สุดฮิตเอาไว้มากมายเพื่อให้พนักงานได้ร่วมเล่นสนุกและคลายเครียด ไม่ว่าจะเป็น Werewolf, Enigma, Avalon, SpyFall Sudoku, Crossword, Code Name, Poker, Game Arcade ฯลฯ

ผลจากการที่ทีมทดลองใช้งานมาประมาณ 9-10 เดือนก็รู้สึกว่า Gather ให้อารมณ์เหมือน Office จริงๆ และค่อนข้างมีความเสถียร จากที่ใช้งานมายังไม่พบปัญหาอะไร อาจจะมีโหลดช้าบ้างเป็นบางครั้งค่ะ Gather จึงเป็นอีกแอปพลิเคชันที่เราอยากแนะนำเพราะแอปตัวนี้เขามี Feature ที่เป็น Solution สำหรับบริษัทที่ต้องการ Remote Working อย่างแท้จริงเลย

ระบบที่สามารถใช้งานได้: iOS, Android, Window, macOS

รูปแบบซอฟต์แวร์: Program และ Cloud Application
ค่าใช้จ่ายในการใช้งาน: ใช้งานฟรี, รายเดือนเริ่มต้นที่ $7 USD ต่อคน/ต่อเดือน (ประมาณ 230 กว่าบาท)
รายละเอียดเพิ่มเติมที่: https://www.gather.town/pricing

Work & Time Management: แอปพลิเคชันสำหรับจัดการเวลาและงาน

ClickUp

แอปพลิเคชันสำหรับจัดการและแจกแจงงาน ClickUp เป็นแอปพลิเคชันที่ช่วยจัดการงานต่างๆ ให้กับทีมได้อย่างเป็นระบบ โดยสามารถแจกแจงงานให้กับคนในทีมและกำหนดระยะเวลาหรือวันที่ในการทำงานซึ่งทำให้เห็นการอัปเดตสถานะของงานในภาพรวม

Feature และจุดเด่นที่ตอบโจทย์การทำงาน

  • User friendly: ClickUp เป็นแอปทำงานที่ใช้งานง่าย นอกจากนี้ ยังมี UI ที่สวยงามดูสบายตา สามารถ Customize เมนูต่างๆ รวมถึงมุมมองของหน้าต่างได้ตามที่ผู้ใช้งานต้องการ ไม่ว่าจะเป็นแบบ List, Board, Timeline และ Calendar
  • Customization: สามารถสร้าง Workspace > Folder > List > Task > Subtask สำหรับงานได้ พร้อมกำหนดกลุ่มการจัดการงานเป็น To do, Doing, QA และ Done เพื่อแยกงานตามสถานะ จัดลำดับความสำคัญของงาน ทำให้การจัดการงานเป็นไปอย่างชัดเจน
  • Dashboard: ฟีเจอร์เด่นของ ClickUp ที่สามารถเรียกดูสรุปข้อมูลการทำงานตาม Metrics ต่างๆ ที่เราตั้งไว้ ทำให้เราสามารถเห็นภาพรวมของงานในแต่ละส่วนหรือในแต่ละ Project ได้นั่นเอง

Work-From-Home-ClickUp

ระบบที่สามารถใช้งานได้: iOS, Android, Window และ macOS

รูปแบบซอฟต์แวร์: Program, Mobile Application และ Cloud Application
ค่าใช้จ่ายในการใช้งาน: ใช้งานฟรี, รายเดือนเริ่มต้นที่ $5 USD ต่อคน/ต่อเดือน (ประมาณ 165 กว่าบาท)
รายละเอียดเพิ่มเติมที่: https://clickup.com/pricing

Google Calendar

แอปพลิเคชันที่ตอบโจทย์สายงาน Agency และการทำงานแบบ Remote Working หรือ Work From Home อย่างมาก เนื่องจาก Google Calendar จะช่วยให้เราจัดการเวลาสำหรับทำงานหรือ Meeting ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Feature และจุดเด่นที่ตอบโจทย์การทำงาน

  • Co-Working: ในกรณีที่เราใช้ Google Workspace เราสามารถตรวจสอบตารางเพื่อนร่วมงานรวมถึงปฏิทินแจ้งวันหยุด วันลาได้ เพื่อหาเวลาที่สะดวกสำหรับสร้าง Meeting มาคุยกัน
  • Time Management: บริหารเวลาในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ Google Calendar ช่วยให้ผู้ใช้งานทำ Timeboxing ในแต่ละวันได้ โดยสามารถแบ่งประเภทกิจกรรมที่ทำในช่วงเวลานั้นๆ ได้เป็นรายกิจกรรม เช่น เวลาที่ต้องการสมาธิ วันที่ลางาน เวลาสำหรับทำงาน การแจ้งเตือน และช่วงเวลานัดหมาย
  • Convenient: สามารถสร้าง Meeting ผ่าน Calendar และชวนผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมได้เลย โดยเลือกสถานที่ พร้อมระบุคำอธิบาย Agenda ได้

Tool & Workspace: แอปพลิเคชันสำหรับทำงานร่วมกัน

Google Workspace

พื้นที่ทำงานผ่านระบบคลาวด์ (Cloud-Based) ที่ประกอบด้วยแอปพลิเคชันสำคัญหลายแอปด้วยกัน เช่น Gmail, Google Meet, Google Calendar, Google Drive, Docs, Sheet, Slide, Form นอกจากนี้ ยังสามารถตั้งค่า Domain ในนามบริษัทเพิ่มความเป็นมืออาชีพให้แก่ Email ได้อีกด้วย

Feature และจุดเด่นที่ตอบโจทย์การทำงาน

การใช้ Google Workspace ช่วยเพิ่มความสะดวกในการทำงานแบบ Work From Home ให้แก่ทีมได้เป็นอย่างมาก เพราะฟีเจอร์ต่างๆ ทำให้ทีมสามารถทำงานร่วมกันได้แบบ Real Time โดยไม่จำเป็นต้องโหลดใช้โปรแกรมหรือแอปพลิเคชันอื่นๆ จำนวนมาก และยังสามารถส่งต่องานให้กันระหว่างทีมหรือระหว่างองค์กรได้อย่างสะดวก เพียงแค่แชร์ลิงก์งานหรือ Drive นั้นๆ

Work-From-Home-Google-Workspace

ข้อจำกัดเดียวของ Google Workspace คือ ผู้ใช้จำเป็นต้องออนไลน์ในขณะที่ใช้งาน Google Drive และ Google Docs (ซึ่งส่วนมากทุกคนต่างก็ทำงานกันแบบออนไลน์อยู่แล้ว)

นอกจากนี้ ยังสามารถเลือกความจุของพื้นที่ทำงานได้ตามความต้องการโดยมีราคาค่าใช้จ่ายแตกต่างกันไปตามแพ็กเกจ

ระบบที่สามารถใช้งานได้: iOS, Android, Window และ macOS

รูปแบบซอฟต์แวร์: Mobile Application และ Cloud Application
ค่าใช้จ่ายในการใช้งาน: ใช้งานฟรี (พร้อมพื้นที่ 15 GB), รายเดือนเริ่มต้นที่ $6 USD ต่อคน/ต่อเดือน (ประมาณ 200 กว่าบาท)
รายละเอียดเพิ่มเติมที่: https://workspace.google.com/pricing.html

HubSpot

เครื่องมือที่ตอบโจทย์การทำ Marketing Automation ซึ่งทีม Magnetolabs เลือกใช้ เพราะการทำงานด้าน Agency ในวงการDigital Marketing จำเป็นต้องอาศัยเครื่องมือที่ช่วยทำให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างอัตโนมัติและอยู่บนโลกออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพ แอปพลิเคชัน Hubspot จึงเป็น Tool ที่เหมาะมากในยุคนี้และที่สำคัญสามารถใช้งานได้ฟรีอีกด้วย

Feature และจุดเด่นที่ตอบโจทย์การทำงาน

  • HubSpot CRM: ช่วยธุรกิจในการทำระบบ CRM โดยสามารถจัดการข้อมูลของลูกค้าและบริษัทต่างๆ อย่างเป็นระบบ จัดการดีล Workflow ในการติดต่อลูกค้า และบันทึกข้อมูลกิจกรรม CRM ได้อย่างละเอียด
  • HubSpot Marketing Hub: ช่วยธุรกิจจัดการระบบ Digital Marketing ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจัดเก็บข้อมูลสถิติรวมทั้งการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าจากช่องทางต่างๆ อย่าง Website, Email Marketing, Social Media และ Advertising นอกจากนี้ ยังช่วยเก็บข้อมูล Lead ผ่าน Forms และ CTA ได้อีกด้วย
  • HubSpot Sales Hub: ช่วยธุรกิจในการบริหารการขายของทีมได้อย่างชัดเจนและวัดผลได้ โดยมีฟีเจอร์ช่วยจัดการเอกสารให้อยู่ในรูปแบบเดียวกัน จัดการข้อมูลสินค้า ใบเสนอราคา และสัญญาให้อยู่ในรูปแบบออนไลน์ พร้อมให้บริการด้านการสื่อสารกับลูกค้าแบบ Sale Automation (การขายแบบอัตโนมัติ)
  • HubSpot Service Hub: ช่วยให้ธุรกิจให้บริการลูกค้าได้อย่างเป็นระบบและเป็นอัตโนมัติมากยิ่งขึ้น โดยให้บริการตัวเองผ่าน Knowledgebase และ Service Automation ที่มีระบบ Tracking ติดตามผลลัพธ์

พวกเราเคยเขียนบทความเกี่ยวกับ HubSpot เอาไว้จำนวนหนึ่ง สามารถอ่านบทความของเราได้ที่

ระบบที่สามารถใช้งานได้: iOS, Android, Window และ macOS

รูปแบบซอฟต์แวร์: Cloud Application
ค่าใช้จ่ายในการใช้งาน: ใช้งานฟรี, รายเดือนเริ่มต้นที่ $45 USD ต่อบัญชี โดยใช้งานร่วมกันได้ทั้งทีม (ประมาณ 1,400 กว่าบาท)
รายละเอียดเพิ่มเติมที่: https://www.hubspot.com/pricing/crm

Mental Health: แอปพลิเคชันฮีลใจด้วย Feedback ดีๆ พร้อมสวัสดิการ

Happily

แอปพลิเคชันสำหรับมอบรอยยิ้มให้กับทีมงาน Happily ช่วยให้การมอบ Feedback เป็นเรื่องที่น่าสนุกและมีความเป็นกันเองมากขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยสร้าง Culture การชื่นชมกันในองค์กรให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ ไปจนถึงเรื่องใหญ่ทุกคนก็สามารถชื่นชมกันได้ผ่านแอป ที่สำคัญทุกครั้งที่ทีมงานเข้าไปให้ Feedback ก็จะได้รับ Coin ตอบแทนกลับมา โดย Coin ที่ได้สามารถนำไปแลกของรางวัลได้หลากหลายเลยทีเดียว

Application-Work-From-Home-Happily

Feature และจุดเด่นที่ตอบโจทย์การทำงาน

  • Sorting Hat: ทำหน้าที่เป็นหมวกคัดสรรโดยครั้งแรกที่ทีมเข้ามาใช้งานแอปพลิเคชันจะได้รับคำถามสั้นๆ เพื่อทดสอบบุคลิกภาพในด้านการปฏิสัมพันธ์และวิธีการทำงานว่าเป็นคนประเภทไหน จากนั้นจะถูกจัดสรรเข้าไปในบ้านต่างๆ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในหนัง Harry Potter เลยทีเดียว
  • Feedback is a Gift: สร้างวัฒนธรรมการให้ Feedback ที่ดีด้วย Happily ทีมงานจะได้รับคำถาม Feedback สั้นๆ ทุกวันให้เข้ามาตอบโดยได้รับเหรียญตอบแทน นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ Power Ups สำหรับมอบเหรียญให้กับเพื่อนร่วมงานที่เราอยากชื่นชมหรือขอบคุณที่ช่วยเหลือเรา พร้อมเขียน Feedback สั้นๆ หรือจะเลือกใช้ฟีเจอร์ Peer Review ที่ให้เราเลือกรายชื่อคนที่เราอยากได้รับ Feedback จากเขาได้อีกด้วย
  • Good Competition: ทำให้เกิดการแข่งขันที่สนุกสนาน Happily จะสุ่มกิจกรรมแข่งขันมาทาง Battle Stadiums โดยให้ทีมเข้ามาร่วมเล่น ร่วมแชร์รูปภาพสนุกๆ ตามโจทย์ในแต่ละสัปดาห์ และยังสามารถร่วมโหวตให้กับคนอื่นๆ ได้อีกด้วย นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ Running Track ที่จะรวมเอาระยะการเดินหรือวิ่งของแต่ละทีมมาคำนวณและหาผู้ชนะในแต่ละสัปดาห์
  • Longlife Learning: ฟีเจอร์ University เปิดโอกาสให้คนในทีมได้เข้ามาจัด Sharing Session แบ่งปันความรู้ให้กับเพื่อนร่วมทีมได้ โดยสามารถเปิดให้ลงทะเบียนด้วยเหรียญ Happily ถือว่าได้กำไร 2 เด้งเลยทีเดียว

แม้การทำงานที่บ้านจะทำให้เราไม่ค่อยได้เจอเพื่อนร่วมงานตัวจริง แต่เราก็ยังสามารถร่วมสนุกและให้ Feedback ที่ดีต่อกันผ่านทาง Happily ได้เสมอ ที่สำคัญการนำเหรียญไปแลกเป็นรางวัลก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทาง Magnetolabs มอบสวัสดิการให้แก่ทีมโดยที่ทีมสามารถเลือกรับรางวัลที่ตัวเองชอบได้อีกด้วย

ระบบที่สามารถใช้งานได้: Android และ iOS

รูปแบบซอฟต์แวร์: Mobile Application
รายละเอียดเพิ่มเติมที่: https://happily.ai/

Health at Work

เรื่องสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ ในยุคนี้อาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ สามารถรักษาผ่านทาง Online ได้โดยไม่ต้องไปเสี่ยงแออัดและเสียเวลาถึงโรงพยาบาล เช่น อาการทางผิวหนังเล็กๆ น้อยๆ อาการไข้หวัดทั่วไป อาการท้องเสีย อาการปวดเมื่อยตามตัว และแผลจากอุบัติเหตุเล็กน้อย เป็นต้น

บริการ Health at Work เป็นอีกหนึ่งบริการที่ตอบโจทย์เรื่องการรักษาทางไกลที่ Magnetolabs เลือกมาเป็นสวัสดิการให้แก่พนักงาน บริการนี้สามารถลงทะเบียนและใช้งานผ่านทางแอป Line โดยพนักงานสามารถติดต่อคุณหมอผู้เชี่ยวชาญได้โดยตรงเพื่อแจ้งอาการเบื้องต้น พร้อมรูปถ่าย จากนั้นจึงพูดคุยกับคุณหมอเพื่อประเมินอาการเบื้องต้นเพิ่มเติม

หากอาการไม่หนักสามารถใช้ยารักษาได้ คุณหมอจากทาง Health at Work จะจัดส่งยาไปให้ แต่ถ้าหากคุณหมอประเมินอาการแล้วดูไม่ดีจะแนะนำให้คนไข้ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล โดยส่วนตัวเราคิดว่า เป็นบริการที่ดีมากๆ เลย หากใครสนใจบริการ Health at Work ก็สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://www.healthatwork.in.th/

สรุป

แอปพลิเคชันที่ตอบโจทย์การ Work From Home ของแต่ละคนหรือแต่ละองค์กรอาจไม่ใช่แอปเดียวกัน การจะเลือกแอปที่ดีที่สุดเพื่อนำมาใช้งานต้องคำนึงถึง Feature ต่างๆ ที่เหมาะสำหรับการใช้งาน ความสะดวกภายในองค์กรที่ทุกคนสามารถนำไปใช้งานได้จริง รวมทั้งต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าในระยะยาวอีกด้วย

เมื่อคุณอ่านบทความนี้จบแล้วเราเชื่อว่า คุณจะได้รับแรงบันดาลใจและได้แอปดีๆ กลับไปทดลองใช้งานกันไม่มากก็น้อย เราอยากรู้ว่าตอนนี้ทุกคนใช้แอปพลิเคชันหรือโปรแกรมอะไรสำหรับทำงานกันอยู่? คอมเมนต์แชร์กันได้ที่ด้านล่างเลย

นอกจากนี้ Magnetolabs กำลังมองหาเพื่อนร่วมทีมเข้ามาทำงานด้วยกัน หากใครสนใจที่จะเรียนรู้การทำงานบนโลก Digital ที่ไม่เคยหยุดพัฒนาและสนใจที่จะมาทดลองทำงานด้วยระบบ Remote Working ด้วยกัน สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครมาได้ที่ https://magnetolabs.com/career/

New call-to-action

Author

Thitirath

ผู้กำลังตกหลุมรักงานเขียน จาก Social Marketing ผันตัวมาเป็น Content Writer
ผู้กำลังตกหลุมรักงานเขียน จาก Social Marketing ผันตัวมาเป็น Content Writer

Related Blog

Leave Your Comment