53
SHARE

[6 เคล็ดลับ] ธุรกิจออนไลน์ ทำอย่างไรให้เติบโตแบบยั่งยืน

คำว่า “ธุรกิจออนไลน์” นั้นมักจะถูกผูกติดอยู่กับคำว่า “เทคโนโลยี” ซึ่งสิ่งที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยคือ การเปลี่ยนแปลง และความรวดเร็ว

นั่นทำให้หลายคนอาจจะรู้สึกว่าเทคนิค วิธีการ และเครื่องมือ มันมาเร็ว ไปเร็วมาก อะไรที่ได้ผลในปีนี้ ปีหน้าอาจจะไม่ได้ผลแล้ว คำว่าการทำ ธุรกิจออนไลน์ แบบยั่งยืน เลยฟังดูเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก

แต่ถึงแม้ว่ามันจะยาก ผมคิดว่ามันเป็นไปได้ครับ

บทความนี้จะแชร์แนวคิด และวิธีการทำธุรกิจออนไลน์ที่ยั่งยืน ซึ่งผมคิดว่าในช่วง 5-10 ปีนี้ แนวคิด และวิธีการต่างๆ ที่ผมกำลังจะเขียนถึงนี้เป็นวิธีที่ทำให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณ “ไปต่อได้” ไม่ว่าจะมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามายังไง หรือ Social Media / Search Engine จะเปลี่ยนอัลกอริทึ่มไปมากแค่ไหน

ป.ล. แนวคิด และวิธีการเหล่านี้เป็นสิ่งที่ได้จากประสบการณ์ และความรู้ของผม ซึ่งผมใช้สิ่งเหล่านี้ในการคาดเดาอนาคต แต่ว่าผมไม่มีทางหยั่งรู้อนาคตได้ เพราะฉะนั้นถ้าคุณอ่านจบแล้ว ผมไม่อยากให้คุณเชื่อทันที แต่อยากให้คุณเก็บเอาไปคิดค้นคว้าหาข้อมูลต่อนะครับ

6 เคล็ดลับ ทำ ธุรกิจออนไลน์ อย่างไรให้เติบโตแบบยั่งยืน

1. ทำเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ

effective website help online business

ด้วยการเติบโตของ Social Media หรือแอปพลิเคชัน Chat หลายๆ คนค่อยๆ ให้ความสำคัญกับ Website น้อยลงเรื่อยๆ

แต่ผมไม่คิดอย่างนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว กลับกัน Website จะยิ่งมีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ ด้วยซ้ำ

สำหรับแบรนด์เล็กๆ Website อาจจะเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญ แต่ถ้าแบรนด์ไหนอยากเติบโตอย่างยั่งยืน Website ถือเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมี สาเหตุนั้นก็เป็นเพราะ Website นั้นถือเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ (Asset) บนโลกออนไลน์เพียงแค่ไม่กี่อย่างของแบรนด์

คำว่าสินทรัพย์ในที่นี้คือแบรนด์มีความเป็นเจ้าของจริงๆ ไม่ได้ไปเช่าที่คนอื่นอยู่ เช่นไปอยู่บน Social Media หรือแอป Chat ซึ่งส่งผลให้การสร้างแบรนด์ การปรับแต่ง Website ให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้า และการจัดเก็บข้อมูล (ข้อนี้ผมคิดว่าสำคัญมากๆ เพราะในอนาคตจะเป็นยุคของการใช้ประโยชน์จากข้อมูล) สามารถทำได้ตามใจต้องการ

ในอีกหลายๆ ปีข้างหน้า ผมเชื่อว่า Website จะยังไม่ตาย และถ้าแบรนด์ไหนสามารถใช้ประโยชน์จาก Website ได้ดี จะกลายเป็นผู้ได้เปรียบบนโลกออนไลน์ ทำเว็บไซต์ครั้งหนึ่งต้องจ่ายเท่าไหร่? แต่รับรองว่ารายจ่ายที่ใช้ไปคือการลงทุนที่คุ้มค่าอย่างแน่นอน และสำหรับคนที่มีเว็บไซต์อยู่แล้วอย่าลืมเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์คุณเสมอนะครับ

2. สร้างคุณค่าของแบรนด์มากกว่าการซื้อโฆษณา

Outbound Marketing and online business

การจ่ายเงินเพื่อซื้อโฆษณานั้นมีข้อดีคือคุณจะสามารถเข้าถึงคนได้เป็นจำนวนมากในระยะเวลาสั้นๆ ยิ่งเป็นโฆษณาบนโลกออนไลน์ (อย่างเช่นบน Facebook หรือ Google) จะยิ่งทำให้เม็ดเงินที่ลงไปนั้นตรงกลุ่มเป้าหมายมากๆ

แต่ข้อด้อยคือคุณจะไม่สามารถหยุดการง่ายเงินโฆษณาได้ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณหยุดจ่ายเงิน Traffic ที่เข้ามายังช่องทางของคุณก็จะหายไปด้วย นอกจากนั้นแล้วการแข่งขันทางด้านโฆษณาบนโลกออนไลน์นั้นจะยิ่งยาก และแพงขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าคนจะหันมาซื้อโฆษณาออนไลน์กันมากยิ่งขึ้น (เพราะว่ามันง่าย และได้ผล) และตัว Platform ต่างๆ ที่ทำตัวเป็นสื่อนั้นก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเขายิ่งแข็งแกร่ง คุณจะยิ่งอ่อนแรง เพราะว่าพวกเขาจะมีอำนาจการต่อรองมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

ถ้ายอดขายบนโลกออนไลน์ของคุณนั้นขึ้นอยู่กับงบโฆษณาที่คุณลงไป สิ่งที่คุณทำอยู่นั้นไม่ยั่งยืนเลยครับ

inbound Marketing and online business

บนโลกออนไลน์ วิธีที่แบรนด์ต่างๆ ควรทำเพื่อที่จะทำให้ธุรกิจยั่งยืนนั้นคือการทำให้คนที่จะกลายมาเป็นลูกค้าเห็นว่าคุณดียังไง ไม่ใช่แค่พูดว่าคุณดียังไง วิธีที่ว่านี้ทำได้โดยการสร้าง “สร้างคุณค่า” คุณค่าที่ว่านี้สามารถสร้างได้หลายวิธี ซึ่งวิธีที่ผมเชียร์มากเป็นพิเศษคือการทำคอนเทนต์ ไม่ว่าจะเป็นบทความ รูปภาพ หรือวิดีโอ เพื่อช่วยให้คนที่จะมาเป็นลูกค้าของคุณได้รับประโยชน์ หรือได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง

ถ้าคุณสามารถสร้างคุณค่าได้อย่างสม่ำเสมอแล้ว คนก็จะมองคุณในฐานะผู้เชี่ยวชาญ และเมื่อเวลาพวกเขาต้องการสินค้า หรือบริการอะไรก็แล้วแต่ที่คุณมี คุณจะถูกนึกถึงเป็นลำดับแรกๆ

โฆษณาก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่ เพียงแต่ว่าศูนย์กลางของการทำการตลาดออนไลน์ของคุณนั้นควรจะเน้นการสร้าง “คุณค่า” อย่างสม่ำเสมอมากกว่า

3. ใช้ Email List ให้เป็นประโยชน์

มีสุภาษิตนึงที่ฝรั่งชอบใช้กันก็คือ “The money is in the list” หรือแปลเป็นไทยง่ายๆ ว่า “เงินนั้นอยู่ในอีเมลลิสต์ที่คุณมี” จริงๆ มันมีเหตุผลอยู่ครับ ซึ่งเหตุผลที่ผมคิดว่ามันสำคัญมากๆ มีอยู่ 3 อย่างครับ

1. เป็นเจ้าของช่องทางติดต่อ

การที่คุณมีอีเมลของคนที่สนใจในสินค้า/บริการของคุณนั้น จะทำให้คุณเป็นเจ้าของช่องทางในการติดต่อกับคนคนนั้น โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางอย่าง Facebook, Instagram, Google หรือว่า LINE เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอัลกอริทึ่มของ Platform เหล่านี้จะเปลี่ยนไปแค่ไหนก็ตาม คุณก็ยังคงสามารถติดต่อคนที่สนใจในสินค้า/บริการของคุณได้โดยตรงอยู่

2. สามารถส่งข้อความไปคุยแบบ 1 ต่อ 1 ได้

การทำการตลาดผ่านอีเมลเป็นการตลาดวิธีเดียวที่คุณจะสามารถส่งข้อความ (Personalized Message) ไปหาลูกค้าของคุณแบบคนต่อคนได้ในปริมาณมากๆ แบบอัตโนมัติได้ด้วยระบบที่เรียกว่า Email Marketing Automation (ถ้าอยากอ่านเกี่ยวกับ Marketing Automation เพิ่มเติม ผมแนะนำให้เข้าไปโหลด eBook เล่มนี้อ่านครับ)

ป.ล. ในอนาคตอาจจะมีอีกอย่างที่ทำได้แบบเดียวกับอีเมล แต่สามารถโต้ตอบกับลูกค้าของคุณได้ดีกว่า ซึ่งก็คือ Chatbot ในปัจจุบัน Chatbot อาจจะยังไม่ฉลาดพอ แต่ในอนาคตถือเป็นสิ่งที่น่าสนใจมากๆ เลยครับ

3. เป็นช่องทางที่คนไทยมองข้าม (เก็บยาก ตั้งค่ายาก)

ปัจจุบันธุรกิจหลายๆ ธุรกิจในประเทศไทยเน้นเรื่อง Social Media กันมากๆ เพราะว่าคนไทยเป็นชนชาติที่นิยมเล่น Social Media ส่วนเรื่องการทำการตลาดผ่านอีเมลนั้น เป็นช่องทางที่หลายๆ ธุรกิจเมิน ซึ่งอาจจะเป็นเพราะการเก็บอีเมลนั้นทำได้ยาก อีกทั้งการทำการตลาดผ่านอีเมลนั้นยังทำไม่ง่ายอีกด้วย

ผมคิดว่าการทำการตลาดผ่านอีเมลในประเทศไทยนั้นยังมีช่องให้เล่นอีกเยอะมาก โดยเฉพาะธุรกิจแบบ Business to business สาเหตุก็เป็นเพราะคนทำธุรกิจนั้นต้องเช็dอีเมลอยู่แทบทุกวัน นอกจากนั้นแล้ว การที่คนเมินการทำการตลาดผ่านอีเมล แสดงว่าถ้าคุณเข้าไปเล่น คู่แข่งคุณจะน้อยมาก

จากการสำรวจของ McKinsey บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำของโลก พบว่าในสหรัฐนั้นการทำการตลาดผ่านอีเมล (Email Marketing) ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการทำการตลาดผ่าน Facebook และ Twitter ประมาณ 40 เท่า

4. เก็บข้อมูลลูกค้า

Collect Lead for Online Business

นอกเหนือจากอีเมลแล้ว สิ่งที่คุณควรเก็บเพิ่มก็คือ “ข้อมูลของลูกค้า” ซึ่งข้อมูลของลูกค้านั้นแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ

แบบที่ 1 คือ ข้อมูลที่ลูกค้าให้มา เช่นชื่อบริษัท ตำแหน่ง อายุ เพศ งบประมาณ เป็นต้น

แบบที่ 2 คือ ข้อมูลจากพฤติกรรมของลูกค้า เช่นลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับ Website ของคุณยังไง หรือลูกค้าเปิดอีเมลคุณบ่อยแค่ไหน เป็นต้น

ถ้านึกไม่ออก ผมอยากจะให้นึกถึง Website ใกล้ตัวที่ทั้งคุณ และผมเล่นกันเกือบทุกวันอย่าง Facebook ซึ่ง Facebook นั้นเก็บข้อมูลของคนใช้บริการทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเพจที่ Like, Message ที่ส่งหาเพื่อน หรือรูปแบบของคอนเทนต์ที่สนใจ

ในอนาคต โลกของเราจะเป็นยุคของการทำ Big Data ซึ่งมี Artificial Intelligence (AI) มาเกี่ยวข้อง แบรนด์ไหนก็ตามที่มีข้อมูลของลูกค้ามากกว่า และสามารถเอามาประมวลผลได้ดีกว่า จะทำให้แบรนด์นั้นๆ มีข้อได้เปรียบเหนือคู่แข่ง เพราะแบรนด์นั้นๆ จะสามารถเสนอคอนเทนต์ และเสนอการขายได้ถูกที่ ถูกเวลามากกว่านั่นเอง

ซึ่งการเก็บข้อมูลของลูกค้านั้น คุณสามารถทำได้ผ่านการทำ Lead Generation ผ่าน Form, ปุ่ม Call to action และ Landing Page ครับ ถึงแม้ว่าคุณจะไม่สามารถรู้ข้อมูลเท่า Facebook, Google หรือยักษ์ใหญ่บนโลกออนไลน์เจ้าอื่นๆ แต่ข้อมูลที่คุณได้มา จะเป็นของคุณเอง ซึ่งจะทำให้คุณนำหน้าคู่แข่งไปไกลแน่นอน ซึ่งนั่นเป็นกระบวนการทำ CRM

5. เรียนรู้เรื่องการเขียนโปรแกรม

Web site write Program

ในอนาคต ความรู้เรื่องการเขียนโปรแกรมจะเป็นความรู้ขั้นพื้นฐานที่คนทุกคนควรจะรู้ (เหมือนกับการคิดเลข หรือการเข้าใจภาษาอังกฤษ) ในต่างประเทศมีแหล่งให้เรียนรู้มากมายอย่างเช่น Udemy, Code Academy หรือ Khan Academy

การเริ่มเรียนรู้อะไรใหม่ๆ เป็นสิ่งที่ยาก ผมเข้าใจ เพราะว่าผมเองก็รู้สึกว่าถ้าจะให้ไปเรียนเขียนโปรแกรมใหม่มันเป็นเรื่องยากเช่นเดียวกัน แต่ผมแนะนำว่าคุณควรที่จะลองหามุมที่สามารถเรียนรู้ได้ เช่นถ้าคุณไม่อยากเขียนโปรแกรม หรือรู้สึกว่ามันยากเกินไป คุณก็เรียนรู้วิธีการใช้งานผลลัพธ์ที่ได้จากโปรแกรมเหล่านั้นแทน (ผมเองอยู่ในขั้นนี้) เช่นคุณไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรมเพื่อสร้าง Website จากศูนย์ แต่คุณสามารถใช้เครื่องมืออย่าง WordPress หรือ Wix ในการสร้าง Website ขึ้นมา

หรือถ้าคุณไม่อยากเรียนรู้วิธีการใช้งานผลลัพธ์ที่ได้จากโปรแกรมเหล่านั้น ผมคิดว่าอย่างน้อยๆ ที่สุด คุณควรที่จะเรียนรู้ว่าโปรแกรมเหล่านั้นมันทำอะไรได้บ้าง เช่นคุณไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องการเขียน Website หรือการใช้ WordPress แต่อย่างน้อยคุณควรจะรู้ว่าการมี Website นั้นจะทำให้คุณมีบ้านบนโลก Online เป็นของตัวเอง และทำให้คนค้นหาคุณเจอผ่าน Search Engine เป็นต้น

ในอนาคตเทคโนโลยีจะมีความสามารถ และมีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้บริหารระดับสูง ผู้จัดการ หรือเด็กจบใหม่ ถ้าคุณไม่พยายามเรียนรู้ตั้งแต่วันนี้ คุณจะพลาดโอกาสอันยิ่งใหญ่ไปหลายอย่างเลยล่ะ

6. ให้ความสำคัญกับธุรกิจแบบออฟไลน์ด้วย 

ถึงแม้ว่าใน 5 ข้อก่อนหน้านี้ผมจะเน้นหนักไปทางเทคโนโลยี แต่ผมเชื่อว่าโลก Offline นั้นยังเป็นส่วนที่สำคัญมากๆ ในการทำธุรกิจออนไลน์อยู่ เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม และมนุษย์ต้องการที่จะปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ด้วยกัน

สิ่งที่ผมคิดว่าสิ่งที่จะยิ่งสำคัญขึ้นเรื่อยๆ ก็คือการเชื่อมต่อระหว่างโลก Online และโลก Offline เข้าด้วยกัน

การผสานเทคโนโลยีเข้ากับการปฏิสัมพันธ์แบบคนต่อคนจะทำให้ธุรกิจ “ก้าวล้ำ (เพราะเทคโนโลยี) กว่าใคร และเข้าใกล้ (กับลูกค้า) กว่าเคย”

สรุป

และนี่ก็คือ 6 วิธีการทำธุรกิจออนไลน์แบบยั่งยืนในความคิดของผมนะครับ

โลกออนไลน์เป็นโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เทคนิค วิธีการ และเครื่องมือต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลง และพัฒนาอยู่ทุกๆ วัน แต่ผมเชื่อว่าถ้าคุณเรียนรู้ เข้าใจ และเอาวิธีการทั้ง 6 วิธีนี้ไปปรับใช้กับธุรกิจออนไลน์ของคุณ ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ นั้นจะไม่มาฉุดรั้งคุณ กลับกัน ความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นจะคอยส่งเสริมให้ธุรกิจของคุณก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ แน่นอนครับ

คุณเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยยังไง หรือมีวิธีอื่นๆ ที่อยากจะเสริมผมอีกบ้างรึเปล่า? มาคุยกันต่อได้ในคอมเมนต์เลยครับ

New call-to-action

Author

Sitthinunt

Managing Partner ของ Magnetolabs หลงใหลในเรื่อง Inbound Marketing หรือการตลาดแบบแรงดึงดูด เวลาว่างจากการเขียนคอนเทนต์ หรือตั้งค่า Marketing Funnel มักจะอ่านหนังสือ บน Kindle อันเล็กๆ หรือไม่ก็ฟังนักธุรกิจ/นักการตลาดคนโปรดคลุกเรื่องเล่าเคล้าเรื่องราวบน Podcast
Managing Partner ของ Magnetolabs หลงใหลในเรื่อง Inbound Marketing หรือการตลาดแบบแรงดึงดูด เวลาว่างจากการเขียนคอนเทนต์ หรือตั้งค่า Marketing Funnel มักจะอ่านหนังสือ บน Kindle อันเล็กๆ หรือไม่ก็ฟังนักธุรกิจ/นักการตลาดคนโปรดคลุกเรื่องเล่าเคล้าเรื่องราวบน Podcast

Related Blog

3 Comments

  • Napeeti
    # June 5, 2017
    Reply

    Thank you for your useful information.

    • Sitthinunt
      # June 26, 2017
      Reply

      My pleasure!

  • วงเดือน
    # September 16, 2018
    Reply

    เป็นบทความที่น่าสนมจมากเลยค่ะ

Leave Your Comment