ก่อนที่จะไปพูดถึงว่า Inbound Marketing คืออะไร มาดูก่อนดีกว่าว่าทำไมถึงต้องเป็น Inbound
การทำ Inbound คือการตลาด การขาย และการให้บริการที่ดึงดูด (Pull) ลูกค้าเป้าหมายให้เข้ามาหาผ่านการสร้างคอนเทนต์ที่ส่งมอบคุณค่า แทนที่จะเป็นการตลาดแบบผลัก (Push) ข้อมูลออกไปเพื่อให้คนเห็นเป็นจำนวนมาก Inbound คือการให้คุณค่า ให้ความรู้ ให้ข้อมูล และพาธุรกิจของคุณไปให้คนที่ใช่ ในเวลาที่ใช่ และเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาจะตัดสินใจซื้อ บริษัทของคุณจะเป็นตัวเลือกอันดับแรกๆ ในใจของลูกค้า เพราะคุณคือผู้รู้ใจของพวกเขา
Attract – เปลี่ยนจากคนแปลกหน้า (Strangers) ให้เป็นคนรู้จัก (Prospects) ด้วย Inbound Marketing
Engage – เปลี่ยนจากคนรู้จัก (Prospects) ให้เป็นคนที่ซื้อ (Customers) ด้วย Inbound Sales
Delight – เปลี่ยนจากคนที่ซื้อ (Customers) ให้เป็นคนรู้ใจ (Promoter) ด้วย Inbound Service
รวมข้อมูลของ Marketing, Sales & Service
CRM หรือ Customer Relationship Management เปรียบเสมือนมันสมองของคุณ การมีระบบ CRM ที่ดีจะทำให้คุณเก็บข้อมูลของคนและบริษัทที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณไว้ได้
แชร์ข้อมูลระหว่างทีม
การมีอยู่ของ CRM จะทำให้ทั้งฝ่าย Marketing, Sales, Service รวมไปถึงฝ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง สามารถแชร์ข้อมูลระหว่างกันเพื่อทำให้แต่ละฝ่ายรู้สถานะของคนหรือลูกค้าที่พวกเขากำลังติดต่ออยู่
จัดการและติดตามผลการสื่อสารกับลูกค้า
CRM ช่วยให้คุณสามารถติดต่อสื่อสารกับลูกค้าและดำเนินกิจกรรมทางด้าน Marketing, Sales และ Service ได้อย่างเป็นระบบมากยิ่งขึ้นผ่านเครื่องมือเช่น Team Email, Live Chat, Tasks, Deals หรือ Ticketing
ทำให้คนมาเจอคุณบนโลกออนไลน์
ดึงดูดให้ “คนแปลกหน้า” ที่ไม่รู้จักแบรนด์ของคุณ หรือยังไม่คุ้นเคยกับแบรนด์ของคุณเข้ามายัง Platform ที่คุณเป็นเจ้าของอย่างเว็บไซต์ โดยผ่านการสร้างคอนเทนต์ดีๆ บนบล็อก (Blogging) การทำ Search Engine Optimization และการใช้ Social Media อย่าง Facebook, LINE, Instagram, Twitter และ Linkedin ให้เป็นประโยชน์
การใช้ Remarketing Ads ที่ดึงดูดให้คนที่เคยเข้ามาเยี่ยมชมพื้นที่ของคุณแล้วกลับมาหาคุณอีกครั้ง
“คนแปลกหน้า” ที่คุณดึงเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณนั้น จะไม่ได้เป็นแค่ Random Traffic เป็นจำนวนมาก แต่เป็นกลุ่มคนเฉพาะที่มีความสนใจในคอนเทนต์ที่คุณสร้าง และมีโอกาสที่จะเปลี่ยนเป็นลูกค้าของคุณ
เปลี่ยนพวกเขาให้เป็นผู้ติดตามและฟูมฟักพวกเขา
เมื่อดึง “คนแปลกหน้า” ที่ใช่เข้ามายังเว็บไซต์ของคุณได้แล้ว คุณไม่ควรจะปล่อยให้พวกเขาเหล่านั้นผ่านไป โอกาสจะกลายเป็นอากาศ ถ้าคุณไม่ทำอะไรสักอย่าง อย่างน้อย ทำให้คนเหล่านั้นกลายเป็น “คนรู้จัก” ของคุณให้ได้ก่อน
คุณควรที่จะมี Form, Call-to-Action, Chatbot (Web & Social) หรือ Landing Page เพื่อให้ “คนรู้จัก” ที่ใช่นั้นทำอะไรบางอย่างที่คุณอยากให้ทำ หรือให้ข้อมูลอะไรบางอย่างที่คุณอยากได้ (Lead Generation) เช่นการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับชื่อ หรืออีเมลซึ่งถือเป็นช่องทางในการติดต่อกับลูกค้าที่คุณเป็นเจ้าของ
นอกจากนั้นแล้ว คุณควรที่จะเลี้ยงดู ฟูมฟัก (Lead Nurturing) ค่อยๆ ทำความรู้จัก ค่อยๆ เก็บข้อมูล และค่อยๆ ส่งมอบคุณค่าให้กับ “คนรู้จัก” ของคุณผ่านการทำ Email Marketing และ Social Media Marketing และเมื่อถึงวันที่พวกเขาสนใจ เมื่อไหร่ คุณก็จะสามารถส่งมอบคอนเทนต์ และข้อเสนอได้ตรงกับความต้องการของพวกเขาผ่านการตลาดแบบอัตโนมัติ (Marketing Automation)
เพื่อที่พวกเขาจะได้เปลี่ยนจาก “คนรู้จัก” มาเป็น “คนติดต่อ” ที่เข้ามาสอบถามสินค้าหรือบริการของคุณ
วัดผลลัพธ์ทางการตลาด
คุณควรที่จะวัดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำการตลาดของคุณไม่ว่าจะเป็นปริมาณคนที่เข้ามาเจอคุณ ช่องทางที่คนเข้ามาเจอคุณ หรือแม้แต่ช่องทางที่คนเข้ามาเจอคุณและคุณปิดการขายได้”
อะไรที่วัดผลได้ สามารถปรับปรุงได้
นอกจากการทำ Inbound Marketing ซึ่งเป็นการดึงดูดให้คนมารู้จักแล้ว คุณยังสามารถใช้แนวคิดแบบ Inbound ไปทำเรื่องของการขายที่ช่วยให้ดึงดูดให้คนมาติดต่อซื้อขาย และ Service ที่ช่วยดึงดูดให้คนได้รับการแก้ไขปัญหาอีกด้วย
ทำการติดต่อกับคนที่สนใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อคุณสามารถดึงดูดให้ “คนที่สนใจ” กลายมาเป็น “คนติดต่อ” ได้แล้วผ่านวิธีการตลาดต่างๆ ก็ถึงเวลาที่คุณจะต้องเริ่มกิจกรรมทางการขาย
ซึ่งถ้าคุณมีคนติดต่อเพียงแค่ 1-2 รายการขายนั้นคงทำได้ไม่ยาก แต่ถ้าคุณเริ่มมีคนติดต่อมามากขึ้น คุณต้องพยายามเค้นประสิทธิภาพทางการขายออกมาให้ได้มากที่สุดเพื่อที่จะพูดคุยกับคนติดต่อได้อย่างทันท่วงที
สิ่งที่คุณควรต้องใช้คือ Email Tracking & Notification (เพื่อดูว่าคนติดต่อคนนั้นๆ เปิดหรือคลิกอีเมลหรือไม่), Gmail & Outlook Integration (เพื่อทำงานในเครื่องมือที่คุณคุ้นเคยอย่าง Gmail หรือ Outlook), Task Automation (การสร้าง Task ให้ทีมขายทำโดยอัตโนมัติ) และ Email Sequence (การส่งอีเมลเพื่อติดตามผลลัพธ์จากการขายโดยอัตโนมัติ)
คุยกับคนติดต่อตามเวลาที่เขาสะดวก
เป็นไปได้ว่าเวลาที่คุณสะดวก คนติดต่อนั้นอาจจะไม่สะดวก เพราะฉะนั้นถ้าจะให้ดีคือคุณจะต้องเปิดโอกาสให้เขาเลือกเวลาที่เขาสะดวกให้คุณติดต่อไป (โดยที่คุณก็สะดวกเช่นกัน)
คุณสามารถทำแบบนั้นได้ด้วยเครื่องมืออย่าง Meeting Sheduling (คนติดต่อสามารถนัดกับคุณในเวลาที่เขาสะดวก โดยที่คุณเองก็สะดวกเช่นกัน), Tasks & Activities หรือ Live Chat
ติดตามผลลัพธ์ ปรับปรุง และพัฒนาการขาย
การจะติดตามผลลัพธ์ ปรับปรุง และพัฒนาการขายนั้นจะต้องมีระบบที่ช่วยให้คุณสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้
เครื่องมืออย่าง Pipeline Management ช่วยให้คุณติดตามสถานะของการขายและเห็นภาพรวมกับ Deal ทั้งหมด เพื่อที่สุดท้ายแล้วคุณจะสามารถเปลี่ยน “คนติดต่อ” ให้กลายมาเป็น “คนที่ซื้อ” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนั้นแล้วการวิเคราะห์และติดตามผลที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการขายของทีมขายทั้งแบบเป็นทีมและแบบคนต่อคน ก็เป็นสิ่งที่ควรทำเช่นเดียวกันเพื่อที่คุณจะได้รู้ว่าทีมขายนั้นจะสามารถพัฒนาขึ้นได้อย่างไร
จัดการและติดตามการสื่อสารกับลูกค้า
เวลาลูกค้ามีคำถามหรือมีปัญหา พวกเขาจะพยายามติดต่อคุณเข้ามาผ่านช่องทางที่พวกเขาถนัด เพราะฉะนั้นคุณต้องจัดการหลังบ้านของคุณให้พร้อมรับฟังปัญหาจากลูกค้าในทุกช่องทาง
เครื่องมืออย่าง Ticketing System จะช่วยให้คุณสามารถจัดการกับ “คนถามปัญหา” ได้อย่างเป็นระบบ โดยที่ภายใน Ticketing System นั้นจะมี Conversation Inbox ที่ทำให้คุณสามารถดูรายละเอียดต่างๆ ที่เคยพูดคุยกับ “คนถามปัญหา” ได้
ซึ่งไม่ว่าลูกค้าจะโทรเข้ามา ทักเข้ามาผ่าน Live Chat หรือส่ง Email เข้ามา ระบบการสนับสนุนหรือ Ticketing System ของคุณจะต้องช่วยให้คุณพร้อมให้ความช่วยเหลือพวกเขา
ช่วยเหลือและทำให้ลูกค้าพึงพอใจ
ก่อนที่ลูกค้าจะติดต่อคุณเข้ามาเพื่อให้ช่วยแก้ไขปัญหา ส่วนใหญ่แล้วลูกค้าจะลองจัดการกับปัญหาด้วยตัวเองก่อน
Knowledge Base (หรือ Help Center) ที่เป็นที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับคำถามต่างๆ ที่มักพบเจอได้บ่อยๆ เป็นเครื่องมือแรกสุดที่จะช่วยให้ “คนที่มีปัญหา” สามารถแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองก่อน
นอกจาก Knowledge Base แล้ว Chatbot ก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยให้ “คนที่มีปัญหา” แก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวเองผ่านการพูดคุยกับระบบอัตโนมัติที่เตรียมคำตอบไว้ให้ก่อนแล้ว
วัดผลและพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้า
การจะติดตามผลลัพธ์ ปรับปรุง และพัฒนาการให้บริการนั้นจะต้องมีระบบที่ช่วยให้คุณสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้
การมี Ticketing System ที่ดีจะช่วยให้คุณติดตามสถานะของการสนับสนุนและเห็นภาพรวมของปัญหาที่ลูกค้ามีทั้งหมด รวมไปถึงการที่คุณควรจะต้องมีระบบ Customer Satisfaction Survey เพื่อที่สุดท้ายแล้วคุณจะสามารถเปลี่ยน “คนที่มีปัญหา” ให้กลายมาเป็น “คนที่รู้ใจ” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนั้นแล้วการวิเคราะห์และติดตามผลที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางการบริการของทีมสนับสนุนทั้งแบบเป็นทีมและแบบคนต่อคน ก็เป็นสิ่งที่ควรทำเช่นเดียวกันเพื่อที่คุณจะได้รู้ว่าทีมสนับสนุนนั้นจะสามารถพัฒนาขึ้นได้อย่างไร
เพราะการหาลูกค้าใหม่มีราคาสูงกว่าการรักษาลูกค้าเก่าหลายเท่าตัว การบริการลูกค้าเป็นอย่างดีจะทำให้คุณรักษาพวกเขาอยู่กับคุณได้นานๆ
โดยสรุปแล้ว Inbound Marketing คือ การทำการตลาดแบบดึงดูด ที่เน้นการดึงดูด “ว่าที่ลูกค้า (Strangers) ” เข้ามาด้วยเนื้อหาคุณภาพที่มีคุณค่าต่อพวกเขา และค่อยๆ ดูแล ฟูมฟัก ด้วยการส่งคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์และการดูแลเปลี่ยนสถานะไปทีละขั้นตอนจนเปลี่ยนเป็น ลูกค้า (Customers) และ ลูกค้าประจำคนที่ใช่ (Promoters) ในที่สุด
ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับความรู้และความคิดสร้างสรรค์เป็นหลักใช้
เวลา 4-12 เดือนในการเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและต่อเนื่อง
ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับงบประมาณที่ใช้ไปกับการโฆษณาเป็นหลัก
เห็นผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว แต่ไม่ยั่งยืนในระยะยาว
การทำธุรกิจแบบ Inbound นั้นมีค่าใช้จ่ายในการหาลูกค้าน้อยกว่าการทำธุรกิจแบบ Outbound ถึง 60%
— Search Engine Journal
การทำธุรกิจแบบ Inbound ที่ดีนั้นจะช่วยในการหา Leads ได้มากกว่าการทำธุรกิจแบบ Outbound ถึง 10 เท่า
— Gartner
We respect your privacy (See our privacy policy)
2529/163 Rama 3 Road, Bangkhlo, Bangkoraem, Bangkok 10120
© 2022 Magnetolabs Co., Ltd. All Rights Reserved. Terms & conditions ∙ Privacy policy